ยืนยง โอภากุล
หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ แอ๊ด คาราบาว เป็นศิลปินเพลงเพื่อชีวิตชาวไทยเชื้อสายจีน เป็นหัวหน้าวงคาราบาว วงดนตรีเพื่อชีวิตและเป็นตำนานเพลงเพื่อชีวิตที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
ยืนยง โอภากุล ได้รับยกย่องให้เป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นักร้อง-นักประพันธเพลงไทยสากล) ประจำปี พ.ศ. 2556
ยืนยง โอภากุล ได้รับยกย่องให้เป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นักร้อง-นักประพันธเพลงไทยสากล) ประจำปี พ.ศ. 2556
ประวัติส่วนตัว
ยืนยง โอภากุล เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2497 ที่ ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรชายฝาแฝดคนสุดท้องของ นายมนัส โอภากุล (แซ่โอ๊ว) และ นางจงจินต์ แซ่อึ๊ง (ปัจจุบันบิดาและมารดาเสียชีวิตแล้ว) มีจิตใจรักเสียงเพลงและดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ๆ จากการที่เป็นชาวสุพรรณบุรีโดยกำเนิด จึงได้ซึมซ่าบการละเล่นพื้นบ้านของภาคกลาง เช่น ลำตัด, เพลงฉ่อย, เพลงอีแซว รวมถึงรำวง และเพลงลูกทุ่ง จากการที่พ่อ คือ นายมนัส เป็นหัวหน้าวงดนตรีประจำจังหวัดสุพรรณบุรี ชื่อวงดนตรี "ชสพ." ในยุค 2480 ต่อมาเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นได้รับอิทธิพลจากดนตรีแนวตะวันตกจึงหันมาเล่นเครื่องดนตรีตะวันตกต่าง ๆ เช่น กีตาร์ ซึ่งเหล่านี้ได้เป็นอิทธิพลในการเป็นนักดนตรีในเวลาต่อมาประวัติการศึกษา
ยืนยงเริ่มเข้ารับการศึกษาชั้นประถมที่โรงเรียนวัดสุวรรณภูมิ และสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย และเดินทางเข้าสู่กรุงเทพมหานครเพื่อศึกษาต่อเหมือนเด็กต่างจังหวัดทั่วไป โดยขอติดมากับรถขนส่งไปรษณีย์ เข้าเรียนต่อใน สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตอุเทนถวาย (โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย) และต่อในระดับปริญญาตรี สาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่สถาบันเทคโนโลยีมาปัว ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นเวลา 1 ปี (ในปี พ.ศ. 2556 ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาดนตรีไทยสมัยนิยม จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง)
ที่ฟิลิปปินส์ ยืนยง โอภากุลได้พบกับเพื่อนคนไทยที่ไปเรียนหนังสือที่นั้น คือ สานิตย์ ลิ่มศิลา หรือ ไข่ และ กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร หรือ เขียว ซึ่งยืนยงได้มีโอกาสฟังเพลงของ เลด เซพเพลิน, จอห์น เดนเวอร์, ดิ อีเกิ้ลส์ และปีเตอร์ แฟลมตัน จากแผ่นเสียงที่ ไข่ สานิตย์ ลิ่มศิลา สะสมไว้เป็นจำนวนมาก ต่อมา ทั้ง 3 จึงร่วมกันตั้งวงดนตรีขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า "คาราบาว" เพื่อใช้ในการแสดงบนเวทีในงานของสถาบัน โดยเล่นดนตรีแนวโฟล์ค
เมื่อ ยืนยง โอภากุลสำเร็จการศึกษาและกลับมาเมืองไทย ได้ทำงานประจำเป็นสถาปนิกในสำนักงานเอกชนแห่งหนึ่ง และมีงานส่วนตัวคือรับออกแบบบ้านและโรงงาน ต่อมาเมื่อไข่และเขียวกลับมาจากฟิลิปปินส์ ทั้ง 3 ได้เล่นดนตรีร่วมกันอีกครั้งโดยเล่นในห้องอาหารที่โรงแรมวินเซอร์ ซอยสุขุมวิท 20 และต่อมาย้ายไปเล่นที่โรงแรมแมนดาลิน สามย่าน โดยขึ้นเล่นในวันศุกร์และเสาร์ แต่ทางวงถูกไล่ออกเพราะขาดงานหลายวันโดยไม่บอกกล่าว
เมื่อวงถูกไล่ออก ไข่ จึงได้แยกตัวออกไปทำงานรับเหมาก่อสร้างอยู่ทางภาคใต้ แอ๊ดและเขียวยังคงเล่นดนตรีต่อไป โดยเล่นร่วมกับวง โฮป ต่อมาปี พ.ศ. 2523 ยืนยง โอภากุล ได้ทำงานเป็นสถาปนิก ประจำสำนักงานบริหารโครงการ ของการเคหะแห่งชาติ ส่วนเขียวทำงานเป็นวิศวกร ประเมินราคาเครื่องจักรโรงงานอยู่กับบริษัทของฟิลิปปินส์ที่มาเปิดสาขาในประเทศไทย และทั้งคู่จะเล่นดนตรีในตอนกลางคืน โดยเล่นประจำที่ดิกเก็นผับ ในโรงแรมแอมบาสเดอร์ สุขุมวิท
จุดเปลี่ยนชีวิต
ยืนยง โอภากุล อยู่ที่การรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์อัลบั้มชุดแรกให้กับวงแฮมเมอร์ ในปี พ.ศ. 2522 ในชุด "บินหลา" โดย ยืนยง โอภากุล ยังเป็นผู้ออกแบบปกอัลบั้มด้วย ซึ่งอัลบั้มชุดนี้ทำให้แฮมเมอร์เป็นที่รู้จักในวงการเพลง และปี พ.ศ. 2523 แอ๊ดยังได้แต่งเพลง ถึกควายทุย ให้แฮมเมอร์บันทึกเสียงในอัลบั้ม "ปักษ์ใต้บ้านเรา" อัลบั้มชุดดังกล่าวทำให้แฮมเมอร์โด่งดังอย่างมาก และได้ร่วมแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ของพนม นพพรเรื่องหมามุ่ย ในปี พ.ศ. 2524
หลังจากนั้นตัวของ ยืนยง โอภากุล ก็มีความคิดที่ว่าหากจะออกอัลบั้มเป็นของตัวเอง คงจะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน จึงร่วมกับเขียว ออกอัลบั้มชุดแรกของวง คาราบาว ในชื่อชุด "ขี้เมา" ในปี พ.ศ. 2524 สังกัดพีค๊อก สเตอริโอ ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ปีถัดมา คาราบาว ได้สมาชิกใหม่เพิ่มอีก 1 คนคือ เล็ก ( ปรีชา ชนะภัย ) มือกีตาร์จากวง "เพรสซิเดนท์" มาร่วมงานในชุดที่ 2 คือชุด "แป๊ะขายขวด" ชุดที่ 3 ชุด "วณิพก" เล็กเป็นเพื่อนเก่าของแอ๊ดตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ช่างก่อสร้างอุเทนถวายด้วยกัน ในระหว่างนั้นวงคาราบาวในยุคแรกก็ได้ออกทัวร์เล่นคอนเสิร์ตตามโรงภาพยนตร์ต่าง ๆ ทั่วประเทศ แต่ไม่ได้รับความสนใจเท่าไร บางครั้งมีคนดูไม่ถึง 10 คนก็มี
คาราบาว มาประสบความสำเร็จในอัลบั้มชุดที่ 5 ของวง คือ ชุด "เมด อิน ไทยแลนด์" ที่ออกในปลายปี พ.ศ. 2527 ซึ่งมียอดจำหน่ายสูงถึง 5 ล้านตลับ และนับตั้งแต่นั้น ชื่อของ ยืนยง โอภากุล ก็เป็นที่รู้จักกันดีของคนไทย และออกผลงานเพลงร่วมกับวงคาราบาวมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้แสดงคอนเสิร์ตที่สหรัฐอเมริกาอีกด้วย
โดย ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าวง เป็นผู้มีบุคคลิกเป็นตัวของตัวเองสูง กล้าพูดกล้าวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวต่าง ๆ ในสังคมอย่างแรงและตรงไปตรงมา โดยสะท้อนออกมาในผลงานเพลง ที่เจ้าตัวจะเป็นผู้เขียนและร้องเองเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีออกมามากมายทั้งอัลบั้มในนามของวงและอัลบั้มเดี่ยวของตนเอง จนถึงวันนี้ไม่ต่ำกว่า 900 เพลง รวมถึงการแสดงออกในทางอื่น ๆ ด้วย ซึ่งก็มีทั้งผู้ที่ชอบและไม่ชอบ โดยผู้ที่ไม่ชอบคิดเห็นว่า เป็นการแสดงออกที่ก้าวร้าว รวมถึงตั้งข้อสังเกตด้วยถึงเรื่องการกระทำของตัวยืนยงเอง
ผลงาน
ศิลปินรับเชิญ
- เพลง ไม่เป็นไร (อัสนี-วสันต์ อัลบั้ม บ้าหอบฟาง) (พ.ศ. 2529)
- เพลง น้ำเอยน้ำใจ (อัสนี-วสันต์ อัลบั้ม บ้าหอบฟาง) (พ.ศ. 2529)
- เพลง วันนี้วันดีที่เป็นไทย (อัสนี-วสันต์ อัลบั้ม บ้าหอบฟาง) (พ.ศ. 2529)
- เพลง พงพนา (คาราวาน อัลบั้ม อานนท์) (พ.ศ. 2531)
- เพลง อับดุลเลาะห์ (ซูซู อัลบั้ม สู่ความหวังใหม่) (พ.ศ. 2532)
- เพลง คนไทย (เล็ก คาราบาว อัลบั้ม เราคนไทย) (พ.ศ. 2534)
- เพลง ตัวเปล่า (เล็ก คาราบาว อัลบั้ม ภูผาหมอก) (พ.ศ. 2535)
- เพลง ก่อนจะสาย (หิน เหล็ก ไฟ อัลบั้ม หิน เหล็ก ไฟ) (พูดนำ) (พ.ศ. 2536)
- เพลง ฉันเป็นดอกไม้ (หงา คาราวาน อัลบั้ม รักเมื่อเดือนเมษา)
- เพลง อย่าทำหนูเลย Please Don't (โจอี้ บอย อัลบั้ม Fun Fun Fun 1,000,000) (พ.ศ. 2540)
- เพลง คนขายฝัน (อัสนี-วสันต์,เสก โลโซ,ธงไชย แมคอินไตย์,ใหม่ เจริญปุระ,แอม เสาวลักษณ์,มาช่า วัฒนพานิช) (พ.ศ. 2545)
- เพลง ความเชื่อ (บอดี้แสลม อัลบั้ม Believe) (พ.ศ. 2548)
- เพลง โลกขาดรัก (เล็ก คาราบาว อัลบั้ม โลกใบนี้) (พ.ศ. 2552)
- เพลง สุดขอบฟ้า (ไทยเทเนี่ยม อัลบั้ม Still Resisting) (พ.ศ. 2553)
ผลงานละคร
- นายขนมต้ม (สมรักษ์ คำสิงห์เป็นพระเอก หลังจากได้เหรียญทองประวัติศาสตร์ที่แอตแลนตา สหรัฐอเมริกา)
- เขี้ยวเสือไฟ
- ส่วย
- ลูกผู้ชายหัวใจเพชร
- กษัตริยา
- มหาราชกู้แผ่นดิน
- เพื่อนรักเพื่อนร้าย
ผลงานภาพยนตร์
- สวรรค์บ้านนา (พ.ศ. 2526)
- ปล. ผมรักคุณ (พ.ศ. 2527)
- เสียงเพลงแห่งเสรีภาพ (พ.ศ. 2528)
- คนเลี้ยงช้าง (พ.ศ. 2533)
- พรางชมพู กะเทยประจัญบาน (พ.ศ. 2545)
- ว้อ หมาบ้ามหาสนุก (ดารารับเชิญ) (พ.ศ. 2551)
- สาระแน ห้าวเป้ง!! (พ.ศ. 2552)
- คนไททิ้งแผ่นดิน (พ.ศ. 2553)
- หลวงพี่เท่ง 3 รุ่นฮาเขย่าโลก (พ.ศ. 2553)